8 เมษายน 2551 : Switching
ในส่วนของ Switching นั้นจะเป็นการจัดการเส้นทางในการส่งข้อมูล ซึ่งจะมี signaling มาเกี่ยวข้องจากความเดิมตอนที่แล้วอธิบายเรื่อง time slot ของAir interface และ Abis interface ไปแล้วน่าจะพอนึกภาพออกว่าใน1TDM ของ Air interface มี 8 Time slot(TS) โดยมีความเร็วTSละ 16kbps และ E1 ของ Abis interface มี 32 Time slot โดยมีความเร็วTSละ 64 kbps ดังนั้น E1มีความเร็วเป็น 64kbps x 32 = 2Mbps
ส่วน signaling เป็นสัญญาณที่ใช้ในการควบคุมการส่งข่าวสารจากต้นทางไปยังปลายทาง ในอดีตกำหนดไว้ที่ TS ที่ 16 เรียก CAS แต่ปัจจุบันไม่กำหนดตายตัว signaling จะถูกกำหนดไว้ที่ TS ใดก็ได้ ยกเว้น TS0 เนื่องจากกำหนดให้เป็น Aligment ซึ่งใช้ในการ synchronous ในการส่งข้อมูลโดยหน้าที่ของ Signaling หลักๆมี 2 อย่าง คือ Mobility Management และ Routing
SPC(Signaling Point Code) เป็นรหัสที่ใช้ระบุอุปกรณ์ต้นทางและปลายทาง หรืออุปกรณ์ในโครงข่าย (NE:network element) โดย OPC (Originating Point Code) คือรหัสอุปกรณ์ต้นทาง และDPC (Destination Point Code) คือรหัสอุปกรณ์ปลายทาง ซึ่งเส้นทางในการส่งข้อมูลเรียกว่า SL (Signaling Link) หลายๆ SL รวมกันเป็น SLS (Signaling Link Set) โดยมีเงื่อนไขว่าจาก point code ไปยังอีก point code หนึ่งจะต้องมี SL ได้มากสุด 16 SL ซึ่งจำนวนของ SL จะขึ้นอยู่กับ Traffic ของ Link นั้นๆ แต่ถ้าต้องการใช้งานมากกว่า 16 SL จะต้องทำการ config point code เพิ่มเข้าไปใน node เดิม (2point codeใน 1node) เรียกว่า Multi-point code จะใช้มากในกรณีที่ต่อไปต่าง Operator
การทำให้ Traffic เชื่อมกัน โดย T-S (Time Space) เป็นการใช้ digital มาช่วยทำการ copy ข้อมูลเช่น traffic เข้าขา1 ให้ไปออกที่ขาที่ต้องการ ทำให้ไม่ต้องรอเวลา
ในส่วนของ Switching นั้นจะเป็นการจัดการเส้นทางในการส่งข้อมูล ซึ่งจะมี signaling มาเกี่ยวข้องจากความเดิมตอนที่แล้วอธิบายเรื่อง time slot ของAir interface และ Abis interface ไปแล้วน่าจะพอนึกภาพออกว่าใน1TDM ของ Air interface มี 8 Time slot(TS) โดยมีความเร็วTSละ 16kbps และ E1 ของ Abis interface มี 32 Time slot โดยมีความเร็วTSละ 64 kbps ดังนั้น E1มีความเร็วเป็น 64kbps x 32 = 2Mbps
ส่วน signaling เป็นสัญญาณที่ใช้ในการควบคุมการส่งข่าวสารจากต้นทางไปยังปลายทาง ในอดีตกำหนดไว้ที่ TS ที่ 16 เรียก CAS แต่ปัจจุบันไม่กำหนดตายตัว signaling จะถูกกำหนดไว้ที่ TS ใดก็ได้ ยกเว้น TS0 เนื่องจากกำหนดให้เป็น Aligment ซึ่งใช้ในการ synchronous ในการส่งข้อมูลโดยหน้าที่ของ Signaling หลักๆมี 2 อย่าง คือ Mobility Management และ Routing
SPC(Signaling Point Code) เป็นรหัสที่ใช้ระบุอุปกรณ์ต้นทางและปลายทาง หรืออุปกรณ์ในโครงข่าย (NE:network element) โดย OPC (Originating Point Code) คือรหัสอุปกรณ์ต้นทาง และDPC (Destination Point Code) คือรหัสอุปกรณ์ปลายทาง ซึ่งเส้นทางในการส่งข้อมูลเรียกว่า SL (Signaling Link) หลายๆ SL รวมกันเป็น SLS (Signaling Link Set) โดยมีเงื่อนไขว่าจาก point code ไปยังอีก point code หนึ่งจะต้องมี SL ได้มากสุด 16 SL ซึ่งจำนวนของ SL จะขึ้นอยู่กับ Traffic ของ Link นั้นๆ แต่ถ้าต้องการใช้งานมากกว่า 16 SL จะต้องทำการ config point code เพิ่มเข้าไปใน node เดิม (2point codeใน 1node) เรียกว่า Multi-point code จะใช้มากในกรณีที่ต่อไปต่าง Operator
การทำให้ Traffic เชื่อมกัน โดย T-S (Time Space) เป็นการใช้ digital มาช่วยทำการ copy ข้อมูลเช่น traffic เข้าขา1 ให้ไปออกที่ขาที่ต้องการ ทำให้ไม่ต้องรอเวลา
TSM (Time Switch Module) ต้องรอเวลาเพื่อเลือก TS
SPM (Space Module) การเคลื่อนย้าย หรือ การเคลื่อนตำแหน่งของ traffic
โดย Traffic จะแบ่งเป็น Signaling Link และ Trunk
HLR มีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่าง MSC 2 ตัว เมื่อ MSC 2 ตัว คุยกันได้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคุยผ่าน HLR MSRN ขอเลขเพื่อใช้ในการคุยกันระหว่าง MSC
FE (Front End) เป็นอุปกรณ์ที่เชื่อมระหว่าง 2 network เข้าด้วยกันเพื่อให้ Traffic จาก core network คุยกับอุปกรณ์ VAS ได้ เพราะ อุปกรณ์ core network กับอุปกรณ์ VAS คุยกันคนละภาษา ^ ^"
STP (Signaling Transfer Point) เป็นตัวเลือกว่า Signaling จะวิ่งไปเส้นทางไหนจึงจะถึงเร็วที่สุด
RG เป็นตัวเชื่อมจาก region นึง ไปอีก region นึง
[ps. หลับๆ ตื่นๆ ก็จดๆ ฟังๆ มั่วๆ รู้เรื่อง มาได้แค่นี้ล่ะเจ้าค่ะ คราวหน้าจะรีบนอนแต่หัววันนะเจ้าคะ ^ ^" ]
1 ความคิดเห็น:
ได้น้ำได้เนื้อดี ถ้าจะให้ดีเราสามารถใส่ความรู้เพิ่มเติม
หรือความคิดเห็น คำถามลงไปก็ได้นะ
แสดงความคิดเห็น